สะพานมอญ สังขละบุรี
หลังจากที่สะพานมอญเสร็จแล้วเชื่อเลยว่าหลายคนคงอยากจะไปชมเป็นบุญตาสักครั้ง
วันนี้เลยเอาภาพประทับใจมาฝากกัน จากเรื่องราวหลายๆอย่างจะเกิดเป็นสะพานที่ถือได้ว่าเป็นหน้าเป็นตาของเมืองกาญจนบุรีเลยก็ว่าได้
แหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นมรดกวัฒนธรรมของชาติมอญที่อาศัยอยู่แถวลุ่มแม่น้ำ “สังขละบุรี” ถือเป็นเมืองชายแดนฝั่งตะวันตกของประเทศไทยที่ตั้งอยู่ระหว่างประเทศไทยและประเทศพม่า
โดยมีแม่น้ำซองกาเลีย(เป็นชื่อเรียกมาจากภาษามอญ ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า“ฝั่งโน้น”) ที่มีต้นกำเนิดในประเทศพม่าไหลผ่านเพื่อหล่อเลี้ยงผู้คนสองฟากฝั่งแม่น้ำ
และเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์มอญที่อาศัยอยู่ทั้งสองประเทศมาตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
ตัวอำเภอสังขละบุรีตั้งอยู่บริเวณที่เรียกขานกันว่า"สามประสบ" นั่นคือ
บริเวณที่ลำน้ำสามสายมาบรรจบกัน ได้แก่ ซองกาเลีย บิคลี่ และรันตี
ไหลมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำแควน้อย ซึ่งแบ่งแผ่นดินอำเภอสังขละบุรีออกเป็นสองฟากฝั่ง
ฝั่งหนึ่งคือ
ตัวอำเภอสังขละบุรีเป็นศูนย์กลางของสถานที่ราชการและที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว อีกฝั่งหนึ่งคือหมู่บ้านมอญที่มีชาวมอญอาศัยตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นจำนวนมากและตั้งรกรากมานานนับร้อยปี
รวมถึงกลุ่มมอญที่เพิ่งอพยพเข้ามาใหม่ ส่งผลให้สังขละบุรีเป็นเมืองที่มีความงดงามและมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ
อาทิ ไทย มอญ ลาว พม่า กะเหรี่ยง
ชาวบ้านเรียกกันว่า “สะพานบาทเดียว” สร้างด้วยแพไม้ไผ่ต่อติดกัน
ตรงกลางเป็นแพมีคนชักสะพานให้มาเชื่อมกัน และเก็บเงินผู้ที่สัญจรไปมาคนละ 1 บาท
ต่อมาพระราชอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ) เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม ซึ่งเป็นพระที่คนมอญและพุทธศาสนิกชนทั่วไปเคารพเลื่อมใส
เป็นผู้คิดริเริ่มและผู้นำในการสร้างสะพานแห่งนี้ เนื่องจากเห็นว่า
ชาวบ้านเดือดร้อนที่ต้องเสียเงินข้ามผั่งและไม่สะดวกนักสะพานแห่งนี้ถือว่าเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยและเป็นสะพานไม้ที่ยาวเป็นอันดับ
2 ของโลกรองจากสะพานไม้อูเบ็งในประเทศพม่ามีความยาวโดยประมาณ 850 เมตร
และเป็นสะพานที่มีความหมายต่อชุมชนมอญเป็นอย่างมาก สะพานมอญนับเป็นหนึ่งในภาพที่คลาสสิกที่สุดภาพหนึ่งของเมืองไทย
เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของแผ่นไม้แต่ละแผ่นที่หลอมรวมกันจนกลายเป็นศิลปะบนสะพานที่มีความงดงามโดยไร้การปรุงแต่งและมีความเฉพาะตัว
อย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นสะพานไม้ที่ตั้งอยู่กลางแดดและฝนและมีผู้คนสัญจรไปมาอยู่ทุกวันยาวนานกว่า
20 ปี ทำให้สะพานแห่งนี้ทรุดโทรมจนต้องซ่อมแซมสะพานอยู่เป็นระยะๆ
และต่อจากนี้คงจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของสะพานไม้แห่งนี้พร้อมๆ
กับความเจริญเติบโตของเมืองสังขละบุรี
เพราะเป็นดินแดนที่หมายปองของนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งวิถี
ความเจริญทางวัตถุที่ย่างกรายเข้ามาสู่ชุมชนจะไม่สร้างความเสื่อมคลายให้กับน้ำใจอันดีงามของคนสังขละไปด้วย
เหล่านี้ล้วนเป็นเสน่ห์ของเมืองแห่งสายน้ำ ขุนเขา และผืนป่าอันอุดมแห่งนี้เป็นไงบ้างแหล่งท่องเที่ยวที่น่จะบอกได้เลยว่าสวยงามเทียบเท่ากับหลายๆแห่งในประเทศเลยก็ว่าได้ถ้าท่านไหนสนใจก็ไปเที่ยวได้หน้าหนาวอย่างนี้ยิ่งได้บรรยากาศอย่างดีเลยทีเดี่ยว